วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ปลาช่อนตัวละแสน

มีด้วยเหรอปลา่ช่อนตัวละ100,000 แถวบ้านขายโลละ100เอง

ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆครับ ชมรูปเอาเลยดีกว่า



งามมั้ย



อีกซักรูปครับ



สำหรับปลาช่อนตัวนี้ ยังไม่มีใครสามารถบอกฟันธงบอกได้ว่าเป็นพันธ์อะไรนะครับ รู้แค่ว่่าจะต้องเป็นสุดยอดปลา ของสายพันธ์นั้นๆอย่างแน่นอน หน้าหามาติดตู้ไว้มากมายครับ ติดอย่างเดียวก็ที่ราคานี้แหละ ตัวละ 100,000 ทำไปได้

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิธีลงปลาในตู้แบบถูกวิธี (ป้องกันการช็อกน้ำ)

1. ขั้นแรกเตรียมปลาที่เพิ่งถอยมาแกะถุง
2. ขั้นต่อมาคือแช่ปลาภายในตู้ที่ต้องการจะลงปลา เพื่อปรับอุณหภูมิน้ำในภาชนะที่บรรจุปลามา ให้เท่ากับน้ำภายในที่เลี้ยง ทิ้งปลาไว้ซักประมาน15-20 นาที
3. เทน้ำใส่ในภาชนะที่ปลาอยู่ทีละน้อย ทำไปเรื่อยๆจนคิดว่าค่าน้ำใกล้เคียงกับในตุ้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ
4. ขั้นตอนนี้ต้องอย่างใจร้อนนะครับ ค่อยๆเทปลาจากภาชนะที่ไส่ปลาลงไปในตู้ด้วยความใจเย็น ถ้าใจร้อนเทปลาไปอย่างรวดเร็ว อาจจะทำให้ปลาเครียดได้นะครับ
5.อย่าลืมเพิ่มอากาศเข้าไปในตู้ด้วยนะครับ เพื่อลดอาการหอบของปลา เมื่อลงปลาไปแล้วซักวันนึงก็เอาออกได้ครับ


ปลาแปลกๆที่ไม่ค่อยมีคนเลี้ยงครับ

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะครับว่าปลาเหล่านี้เป็นปลาสวยงามที่มีการเลี้ยงกันอยู่จริงๆ

ซึ่งแน่นอนหน้าตามันไม่เหมือนปลาทอง หรือ ปลาหางนกยูงที่ทุกท่านรู้จัก

โหด ดุ ป่าเถื่อน !! กว่า แต่ก็ถือเป็นสีสันที่สวยงามในการเลี้ยงปลานะครับ

จะทำการแนะนำให้รู้จักก่อนซัก 4 ตัวนะครับ

ตัวแรก ไอนี่ผมเลี้ยงอยู่ น่ารักน่าชังมากเลยทีเดียว

ปั้กเป้าฟาฮาก้า

ลักษณะ
เป็นปลาทรงอ้วนป้อม ปุ้กลุกน่ารัก สีของมันสามารถเปลี่ยนไปได้ตาวสภาพอารมณ์ เช่นเพิ่งย้ายที่ใหม่ๆจะซีดขาวเป็นจิ้งจกตกน้ำเลยทีเดียวแต่ถ้าคุ้นชินกับ ตู้แล้วสีก็จะสวยมากมาก แต่ตู้ที่ควรเลี้ยงกระจกต้องเป็นสีดำ หรือไม่ก็ดำทั้งพื้นทั้งกระจกเลยครับ เพราะถ้ากระจกใส พื้นขาว ปลาจะสีสันออกโทนเขียวมากกว่า และเมื่อปลาโตขึ้น สีจะเข้มขึ้นเรื่อยๆ

อุปนิสัย
ขึ้นชื่อว่าปลาปั้กเป้า มันคงจะต้องโหดแน่นอนอยู่แล้วครับ คนที่หวังว่ามันจะหยุทหยิม นุ่มนิ่มแบบปลาสอด ปลาทองล่ะก็ คงต้องผิดหวังครับ เจ้าฟาฮาก้านั้นบางคนอาจจะนึกว่ามันบางตัวจะใจดีแต่นิสัยมันจริงๆนั้นเรียกได้ว่าสุดแสนจะโหด
ที่พูดได้เพราะผมลองโยนปลาตัวเล็กๆลงตู้มันไปแล้ว ผลสรุปว่า พอปลาลงไปในตู้ปุ้ป ฟาฮาก้าก็พุ่งขึ้นมาหาด้วยความเร็วสูง เสร็จแล้วก็งับไปที่พุงของปลาตัวนั้น เลือดฟุ้งเลยครับ ทีนี้มันก็ปล่อยให้ปลาไร้พุงลงไปนอนที่ก้นตู้ จากนั้นมันก็ตามไปเก็บแบบไม่เหลืออะไรไว้เลย ซึ่งถ้าใครจะเลี้ยงก็จะต้องเลี้ยงมันแยกเดี่ยวนะครับ

อาหาร
ปลาปั้กเป้าฟาฮาก้าเป็นปลาที่กินง่ายมากครับ กินกุ้งฝอยเป็น/ตาย กุ้งขาว กุ้งเครฟิช ปู หอย ปลาเหยื่อ สรุปว่าเนื้อของสัตว์น้ำมันกินได้หมดครับ แต่ควรจะให้หอยบ้างนะครับ ฟันจะได้ไม่เหยิน

การเลี้ยง
การเลี้ยงปลาชนิดนี้ไม่ยากเลยครับ ง่ายมากมาก แค่มีอาหาร กรองดี ถ้าโตเต็มที่ตู้ใหญ่36นิ้วขึ้นไปก็ดีครับ แต่การเลี้ยงปั้กเป้าจะต้องใช้ความสามารถในการอดทนอดกลั้นต่อการให้อาหารปลา เพราะว่ามันจะขออาหารตลอดเวลา แต่ถ้าให้มากเกินไปปลาจะท้องอืดตายได้ครับ



ดูมันพองสู้กล้อง- -"
ตัวต่อไปนี้ ไม่รู้จะพูดยังไงดี เอาเป็นว่าแปลกแหวกแนวแน่นอนครับ

ปลาฉนาก sawfish



ปลาฉนากจัดอยู่ในประเภทปลากระดูดอ่อนที่มีขนาดใหญ่ และมีรูปร่างคล้ายฉลามครับ เพราะมีซี่กรองเหงือก5ซี่เหมือนปลาฉลาม สีผิวมีสีเทาอมเขียว หน้าท้องนั้นจะมีสีขาวครับ และส่วนที่ทำให้ปลาตัวนี้จ๊าบ ก็คือ อวัยวะที่อยู่ทางด้านจะงอยปากครับมีลักษณะเป็นแท่งที่แข็งและยาวถึง1ใน3ของ ลำตัวจนถึงหาง รอบแท่งอันนี้จะมีซี่ แหลมๆอยู่โดยรอบ มองดูคล้ายใบเลื่อยจึงเป็นที่มาของชื่อภาษาอังกฤษ sawfish อวัยวะอันนี้นั้นใช้ในการป้องกันตัว และใช้หาอาหารครับ ซึ่งขนาดและจำนวนซี่จะมากน้อยแล้วแต่พันธุ์ครับ

ลักษณะ การหากิน
ปลาชนิดนี้มักจะหากินตามพื้นน้ำที่มีดินโคลนขุ่น หากินพวกสัตว์ที่อยู่หน้าดิน แบบปลากระเบนครับพบได้ในเขตอบอุ่น ตั้งแต่ทวีปอเมริกาเหนือ แอฟริกา เอเชีย และออสเตรเลียทางตอนเหนือ เป็นปลาทะเลที่บางสายพันธุ์
เช่น ฉนากจะงอยปากกว้าง สามารถปรับตัวให้อาศัยอยู่ในน้ำจืดได้ด้วยครับ

การขยายพันธุ์
เป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัว ที่มีการผสมพันธุ์ในตัวปลาเอง ไม่ใช่แบบที่ปลาตัวเมียวางไข่แล้วปลาตัวผู้ค่อยมาฉีดเชื้อนะครับส่วนมันจะ ผสมกันยังไงอันนี้ ก็จิตนาการเอาเองแล้วกันครับ

สถานะ
เป็นปลาที่อยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์เต็มทีแล้วครับ ด้วยลักษณะเด่นของมันทำให้คนที่จับมันได้ตัดเอาจะงอยปากของมันเป็นเป็นของ ตกแต่งบ้าน เครื่องประดับ หรือของที่ระลึกครับ



ตัวต่อไปเป็นปลาไทยแท้ครับ หลายท่านอาจจะเคยเห็น แต่ไม่ทราบว่ามันก็อยู่ในตู้ปลาสวยงามได้ด้วยเหมือนกัน มันคือ

ปลาเทพา (ปลาเลิม)


ลักษณะ
เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในจำพวกปลาไม่มีเกล็ดหรือปลาหนัง จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับปลาสวายและปลาเทโพ เป็นปลาไม่มีเกล็ดคล้ายปลาสวาย แต่ลำตัวจะสั้นกว่า มีส่วนหัวที่กว้าง แบน ใหญ่กว่า ครีบทุกครีบใหญ่ ยาว โดยเฉพาะก้านครีบแรก จะยาวเป็นเส้นออกมา ครีบไขมันมีขนาดเล็ก ลำตัวด้านบนเป็นสีดำ ช่วงใต้ลำตัวเป้นสีเงิน มีหนวดยาวพอประมาณที่ใต้ปากล่าง 1 คู่ มุมปาก 1 คู่ ใช้ในการหาอาหาร มีตาขนาดเล็ก เหนือมุมปากเล็กน้อย
เป็นปลากินเนื้อที่มีส่วนหัวค่อนข้างสั้นแต่มีลักษณะแบนและกว้าง มีลักษณะเด่นตรงที่มีก้านครีบอันแรกของครีบหลัง ครีบอก และครีบท้อง มีขนาดใหญ่และยื่นยาวเลยครีบออกไปมาก จึงดูสง่างามในเวลาว่ายน้ำมากกว่าปลาชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน

พฤติกรรม
รักสงบ ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ปกติจะว่ายน้ำตลอดเวลา

อาหาร
ลูกกุ้ง ลูกปลา เนื้อสัตว์ อาหารสำเร็จรูป ได้แก่ซากสัตว์ที่ตายลอยอยู่บนผิวน้ำ แต่ลูกปลาขนาดเล็กมักชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่และอาศัยอยู่ในบริเวณน้ำนิ่ง กินแมลงน้ำ และสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร

การเลี้ยงดู
ปลาเทพาชอบน้ำที่ใสสะอาดมีการไหลเวียนอย่างดี มีพื้นที่ในการว่ายในตู้มาก เนื่องจากปลาจะว่ายตลอดเวลา คล้ายปลาฉลามอาจใส่เครื่องพ่นน้ำ ให้ปลาว่ายทวนน้ำอยู่กับที่ก็ได้
สามารถเลี้ยงรวมเป็นฝูงหลายๆตัวได้
ปลา เทพาในธรรมชาติจะกินซากสัตว์ที่ลอยน้ำมา หรือจับปลา กุ้งขนาดเล็กเป็นอาหาร ในที่เลี้ยงปลาจะกินอาหารได้หลายชนิดทั้งลูกปลาลูกกุ้งเป็นๆ หรือเนื้อสัตว์หั่นเป็นชิ้นๆ ปลาขนาดเล็กจะชอบกิน ไส้เดือนน้ำ ไรทะเล และฝึกให้กินอาหารสำเร็จรูปได้ดี เป็นปลาที่มีประสาทรับกลิ่นดี เพียงแค่อาหารถึงน้ำ หนวดทั้ง 4 เส้นจะกางออกและควานหาอาหารในทันที ปลาจะกินครั้งละมากๆ จนท้องกางออกมาเห็นได้ชัดเจน


ตัวเล็กๆน่ารักมากมายครับ


ตัวสุดท้ายครับ ตัวเล็กหน้ารักครับ แต่นิสัยไม่หน้ารักเลยครับ - -" โหด ดุ จิงๆ เรียกได้ว่าน้องๆ ปิรันย่าเลยอะครับ มันคือ

เปคูแดง (ปลาคู้แดง)


ลักษณะของปลา
ลักษณะทั่วไปของปลาคู้แดง มีลำตัวแบนข้าง ส่วนท้องกว้าง บางชนิดมีจุดสีน้ำตาลและสีดำ บางชนิดข้างลำตัวส่วนล่างสีขาว, สีเหลืองและสีชมพู แล้วแต่ละชนิดแตกต่างออกไป
โดยปกติมีขนาดตั้งแต่ 15-25 ซม. (6-10 นิ้ว)

ฟันมีความคมเรียงกันเป็นแถวเดียวบนขากรรไกรทั้ง 2 ข้าง ฟันเหล่านั้นจะเรียงตัวกันแน่นเป็นระเบียบและเชื่อมต่อกัน เพื่อใช้ในการกัดและฉีกอย่างรวดเร็ว ฟันที่มีลักษณะเฉพาะของมันจะมีรูปแบบเป็นทรงสามเหลี่ยม คล้ายใบมีด ฝีปากล่างยื่นออกมายาวมากกว่าริมฝีปากบน แต่เมื่อหุบปากจะปิดสนิทระหว่างกันพอดี

แหล่งที่อยู่อาศัยและอาหาร
ปลาคู้แดง จะชอบพื้นที่ลุ่มที่มีการระบายน้ำได้ดี แต่ก็อาศัยได้ืั้ทั้งสภาพแวดล้อมที่เป็น แหล่งน้ำไหล และ แหล่งน้ำนิ่ง ซึ่งเป็นได้ทั้งผู้ล่า และผู้กินซาก

ปลาเปคูหรือปลาคู้แดง เป็นปลาที่ชอบอาศัยรวมกันเป็นฝูง ปลาคู้แดงจัดเป็นปลาที่ตระกะกินได้ทั้งเนื้อและพืช เมื่อเจอเหยี่อยที่เป็นอาหาร ก็จะพุ่งเข้าโจมตี อย่างรวดเร็ว แล้วรุมกัดแทะ


เป็นยังไงบ้างครับ หวังว่้าคงจะไม่ผิดหวังกับปลาแปลกๆที่ผมได้นำมาแนะนำนะครับ มีทั้งน่ารักๆ และดุโหดแตกต่างกันไปนะครับ แล้วโอกาศหน้าจะมาอัฟเพิ่มเติมนะครับ


บทความเหล่านี้ ได้มาจากการแข่งขับประกวดบทความ จาก http://www.genepoolaquarium.com/ ต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับความรู้ดีๆ

สนใจอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.genepoolaquarium.com/


ความรู้เบื่องต้นเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาสวยงาม


การเลี้ยงปลาสวยงามในตู้ปลาจะมีปัจจัยที่สำคัญอยู่ 5 ประการนะครับ
คือ
1.ที่อยู่อาศัย
2.สภาพแวดล้อม
3.ระบบกรอง
4.อุณหภูมิ
5.อาหาร

ที่อยู่อาศัย
ขึ้นชื่อว่าปลา ก็ต้องอาศัยอยู่ในน้ำนะครับ เพราะฉะนั้น คุณภาพน้ำจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลี้ยงปลา น้ำที่เราจะใช้นำมาเลี้ยงปลานั้นควรเป็นน้ำสะอาดและปราศจากคลอรีน ค่า Ph ควรอยู่ที่ระหว่าง 6.5-7.5 (แล้วแต่ชนิดปลา) โดยสามารถหาได้จาก
1.น้ำ ประปา นำมาพักทิ้งเอาไว้ซัก 2 คืน หรือ 1 คืน(กรณีที่มีการให้ออกซิเจนตลอดเวลา) เพื่อให้คลอรีนระเหยออกไปหมด จึงสามารถนำมาใช้ได้
2 .ใช้น้ำกรองผ่านเครื่องกรองคลอรีน วิธีนี้สามารถนำน้ำที่ได้มาใช้ได้ทันที
นอก จากนี้แล้วเรื่องความสะอาดของน้ำถือเป็นเรื่องสำคัญ จึงควรเปลี่ยนถ่ายน้ำ ทุกๆ 4-7 วัน หรืออย่างต่ำ ควรถ่ายน้ำอาทิตย์ละครั้ง ครั้งละ 30% เป็นประจำจะช่วยให้ปลาแข็งแรงและสุขภาพดีเสมอครับ และหลังเปลี่ยนน้ำอาจใส่เกลือสักเล็กน้อย เพื่อกระตุ้นกระบวนการแลกเปลี่ยนแร่ธาตุกับน้ำได้ดีขึ้น

สภาพแวดล้อม
ในที่นี้หมายถึงทุกๆอย่างรอบตัวปลา ตั้งแต่ขนาดตู้ ค่าของน้ำ แทงค์เมท ไปจนถึงขนาดของกรวดปูพื้นตู้ปลา ทั้งนี้ควรคำนึงถึงสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ และอุปนิสัยต่างๆของปลาที่จะเลี้ยงก่อนลงมือจัดสภาพแวดล้อมต่างๆภายในตู้ให้ ใกล้เคียงกับธรรมชาติของปลาชนิดนั้นๆมากที่สุด เพื่อให้ปลาที่เราเลี้ยงไม่เครียด และ สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข
หมายเหตุ* การแต่งตู้-ปูกรวดจะทำให้ทำความสะอาดตู้ได้ยากขึ้นและเกิดการหมักหมมภายใน ตู้ได้ง่าย เพื่อป้องกันการสะสมของของเสียจากปลา จึงควรเปลี่ยนถ่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอด้วยครับ

ระบบกรอง
อย่างที่ได้กล่าวไปในขั้นต้นแล้ว คือ “คุณภาพน้ำที่ดีขึ้นอยู่กับระบบกรอง” ระบบกรองจึงเป็นส่วนสำคัญอีกอย่างภายในตู้ ซึ่งมีหน้าที่หลัก คือ ช่วยลดของเสียจากน้ำและเพิ่มออกซิเจนในน้ำ ซึ่งเครื่องกรองมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ทั้ง กรองในตู้(ใต้กรวด,ข้าง,มุม),กรองนอกตู้(บน,ล่าง,กรองถัง),กรองแขวน, กรองกล่อง,กรองฟองน้ำ ฯลฯ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะใช้หลักการคล้ายๆกัน คือ ให้น้ำภายในตู้ไหลผ่านสับสเตรท(สารกรอง)ต่างๆ ภายในเครื่องกรอง เมื่อน้ำเกิดการเคลื่อนที่ผ่านหรือกระทบกับสับสเตรทจะเกิดฟองอากาศเล็กๆขึ้น กระบวนการนี้เองที่ทำให้น้ำแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ ระหว่างที่น้ำผ่านสับเสตรทต่างๆนั้น จะมีแบคทีเรียซึ่งอาศัยอยู่ตามสับสเตรททำหน้าที่ย่อยสลายของเสียในรูป แอมโมเนีย ให้เปลี่ยนรูปไปเรื่อยๆจนกลายเป็นไนเตรท เมื่อผ่านกระบวนการทั้งหมดแล้วเครื่องกรองก็จะปั้มน้ำที่ผ่านการกรองมาเรียบ ร้อยกลับสู่ตู้ หมุนเวียนกันตลอดเวลา ซึ่งประสิทธิภาพการกรองของเครื่องกรองแต่ละชนิด อาจไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับชนิดของสับสเตรทที่ใช้ในการกรองครับ

อุณหภูมิ
โดยปกติปลาในเขตร้อนชอบอยู่ในน้ำที่มีอุณหภูมิ ระหว่าง 25 – 30 องศาเซลเซียส และปลาไม่สามารถทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างทันทีทันใด ฉะนั้นจึงไม่ควรนำปลาจากที่หนึ่งไปปล่อยยังอีกที่หนึ่งที่มีอุณหภูมิแตกต่าง กันมาก จึงควรมีการปรับอุณหภูมิในถุง หรือ ภาชนะที่ใส่ปลาก่อนทำการปล่อยปลา โดยปกติไม่ควรเปลี่ยนแปลงเกิน 3 องศาเซลเซียส ช่วงฤดูหนาวปลามักจะอ่อนแอและป่วยง่าย จึงควรระมัดระวังป้องกัน โดยหาอุปกรณ์ใช้ควบคุมอุณหภูมิมาติดตั้ง เรียกว่า ฮีตเตอร์ ซึ่งมีขายทั่วไปตามร้านขายอุปกรณ์ปลาสวยงามทั่วไป ควรตั้งให้อุณหภูมิอยู่ที่ 28 องศาเซลเซียสจะเหมาะสมที่สุดครับ

อาหาร
เนื่องจากตามธรรมชาติที่ปลาต้องหาอาหารกินเองนั้น ปลาต้องใช้ทั้งพลังงานและความอดทนกว่าจะหาเหยื่อได้ในแต่ละครั้ง และไม่ได้กินอิ่มท้องตลอดเวลาอย่างที่เราเลี้ยงนะครับ จึงควรให้อาหารพอประมาณ และอาหารที่ขับถ่ายได้ง่ายบ้าง เช่น อาหารเม็ด เป็นต้น ซึ่งการให้อาหารปลาสวยงามนั้น ควรคำนึงถึงความครบถ้วนของสารอาหารที่ปลาจะได้รับนะครับ และให้แต่พอดี อย่ามากเกินไป ให้ถือคติว่า “อดดีกว่าอิ่ม” จะปลอดภัยกว่าครับ มื้อนี้มันกินไม่ทันเขา มื้อต่อๆไปมันก็ต้องแย่งกับชาวบ้านเค้ามั่งละครับ อาจให้เพียง เช้า-เย็น หากให้อาหารปลามากเกินไปจะมีแต่ผลเสียคืออาหารเหลือและเน่าเสีย ทำให้น้ำเน่าเร็ว หรือถึงปลากินหมด แต่ของเสียที่มันขับถ่ายออกมานั้นก็เท่ากับที่กินเข้าไปแหละครับ จะทำให้น้ำในตู้เสีย(อีกแล้ว) สุขภาพปลาก็จะทรุดโทรมได้ง่ายครับ ทำให้เราต้องเปลี่ยน-ถ่ายน้ำบ่อยขึ้นครับ

ส่วนการให้อาหารสด นั้นควรทำความสะอาดให้ดีก่อนให้ โดยการนำไปแช่ในสารละลายด่างทับทิมหรือแช่ในน้ำเกลือเข้มข้น เพื่อฆ่าเชื้อโรคเสียก่อนเพื่อป้องกันการติดโรคจากอาหาร หากเป็นสัตว์ที่มีเงี่ยงแหลมคม เช่น
กุ้งฝอยก็ควรเด็ด(กรี)ออกเสียก่อน เพื่อป้องกันการถูกทิ่มตำและโรคในทางเดินอาหารได้

ทั้ง หมดที่ได้กล่าวมานั้น เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นสำหรับคนที่ต้องการจะเริ่มเลี้ยงปลาเท่านั้น ไม่ใช่หลักตายตัวแต่อย่างใด ยังมีความรู้อีกหลายๆอย่างที่จำเป็นต้องรู้ ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มเลี้ยงปลาผู้เลี้ยงต้องศึกษาชนิดและข้อมูลของปลาที่จะเลี้ยงให้ดีเสียก่อน เพราะการเลี้ยงปลา ไม่ใช่แค่การนำปลามาปล่อยลงตู้ แล้วเลี้ยงดูมันแบบเดาสุ่มไปเรี่อยๆจนมันตาย




Credit : เอก (kaikem121 ) genepoolaquarium


ระบบกรองและการให้อากาศในการเพาะเลี้ยงปลาสวยงาม

อ่านแล้วอาจจะงงๆนะครับ แต่ยังไงการให้อากาศกับปลาที่เราเลี้ยงก็มีความสำคัญ จิงหยิบเอาบทความดีๆจากคุณ Rof แห่ง genepoolaquarium
มาให้ได้อ่านกันนะครับ

ระบบกรองและการให้อากาศในการเพาะเลี้ยงปลาสวยงาม
กาซออกซิเจน (O2) เป็นสิ่งที่จำเป็นสูงสุดต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด รวมทั้ง ปลา
คุณสมบัติของออกซิเจนต่อการเลี้ยงปลานั้นมีดังนี้
1 เป็นกาซที่ใช้ในการหายใจของปลาโดยตรง
2 มีคุณสมบัตเป็นสารออกซิไดซ์ สามารถ ออกซิไดซ์สารพิษบางตัวในน้ำได้
3 ช่วยในการย่อยสลายของเสียในน้ำ ในการย่อยสลายของเสียของแบคทีเรียที่ใช้ออกซิเจน
4 เป็นบัพเฟอร์ในน้ำสามารถควบคุม pH ได้บ้างบางส่วน
5 ลดการละลายของกาซอื่นๆในน้ำ เนื่องจากออกซิเจนมีความสามารถในการละลายสูงมาก
ใน ธรรมชาตินั้น ปลาจะได้รับออกซิเจนจากวิธีทางธรรมชาติเท่านั้น ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการ เพราะปลาจะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำ หรือบริเวณที่มี ออกซิเจนเพียงพอ ต่อความต้องการของมัน ในแต่ละชนิด แต่การที่เรานำปลาเข้ามาเลี้ยงในตู้ปลา หรือในบ่อปลา เรามีความจำเป็นที่จะต้องมีการเพิ่ม ออกซิเจน ลงไปในน้ำ เนื่องจาก ในที่กักขังนั้น น้ำ จะสามารถแลกเปลี่ยน ออกซิเจนกับ อากาศ ได้น้อยมาก เนื่องจากมีผิวสัมผัสที่น้อย และบริเวณจำกัด อีกทั้งยังมีการย่อยสลายของของเสียที่ขับออกมาจากตัวปลา ซึ่งมีขบวนการที่ต้องใช้ออกซิเจนในการย่อยสลายอีกด้วย ทำให้ออกซิเจนในที่กักขังมักจะไม่เพียงพอต่อความต้องการในการดำรงชีวิตของ ปลา ทำให้เรามีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่ม ออกซิเจนลงในที่เลี้ยงปลาของเรา นอกจากนั้น เรายังสามารถเลี้ยงปลาได้ในปริมาณที่มากขึ้นอีกด้วย เมื่อเทียบปริมาตรต่อหน่วย กับในธรรมชาติ
วิธีการในการให้ออกซิเจนกับ ปลาในที่เลี้ยง ในการเพาะเลี้ยงปลาสวยงามนั้น มีหลายวิธีในการเพิ่มออกซิเจนให้กับน้ำที่ใช้เลี้ยง การที่จะเลือกใช้วิธีใดนั้น แล้วแต่ความเหมาะสม และวัตถุประสงค์ เช่น รูปแบบ ขนาดของที่ที่ใช้เลี้ยง ก็ควรชนิด อายุ และขนาดของปลา ความหนาแน่นในการเลี้ยง เช่น ปลาบางชนิดไม่จำเป็นต้องมีการให้อากาศในน้ำเพิ่มเติม เช่นในปลากลุ่มก่อหวอด เช่นปลากัด ปลากระดี่ แม้ว่าจะเลี้ยงรวมกันเป็นจำนวนหลายตัวก็ตาม ในกลุ่มปลาหมอสีครอสบรีด ต้องการระดับออกซิเจนปานกลาง กลุ่มปลาน้ำไหล เช่นปลาซิว ปลาติดหิน ต้องการออกซิเจนในปริมาณที่สูง ส่วนปลาบางประเภทจะมีความไวต่อระดับออกซิเจนในน้ำสุงมาก เช่นปลาปอมปาดัวร์ ปลาเสือตอปลาเทวดาเป็นต้น

1 วิธีทางเคมี โดยใส่สารเคมีที่มีการแตกตัวให้ออกซิเจนแก่น้ำ เช่นสารพวก เปอร์ออกไซด์ และ ซุปเปอร์ออกไซด์ ในท้องตลาดเรียก ออกซิเจนผง หรืออาจใช้โอโซน ซึ่งสามารถ แตกตัวเป็น ออกซิเจนได้เป็นต้น วิธีนี้มีข้อดีคือ สามารถเพิ่มออกซิเจนในน้ำได้รวดเร็ว เฉียบพลัน เหมาะกับการใช้ในกรณีฉุกเฉิน ข้อเสียคือ จะมีสารตกค้างในน้ำ เช่น แคลเซียม ซึ่งจะทำให้น้ำกระด้าง และการเพิ่มออกซิเจนในน้ำแบบเฉียบพลัน อาจเป็นอันตรายต่อปลาโดยตรงได้

2 วิธีทางชีวะ โดยใช้พืชน้ำ เป็นตัวเพิ่มออกซิเจนให้กับแหล่งน้ำ ไม่ว่าจะเป็น สาหร่าย พรรณไม้น้ำสวยงาม หรือแม้แต่ ตะไคร่น้ำ ก็สามารถเพิ่มออกซิเจนให้กับน้ำได้ทั้งสิ้น แต่มีข้อแม้ว่า จะต้องอยู่ในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอต่อการสร้างออกซิเจนของพืชน้ำแต่ละชนิด วิธีนี้มีข้อดีคือ พืชน้ำจะให้ออกซิเจน ในรูปแบบของ ออกซิเจนบริสุทธิ์ ไม่มีสารตกค้างใดๆ และเป็นวิธีเดียวที่สามารถ ทำให้น้ำมีออกซิเจนละลายอยู่ เกินจุดอิ่มตัวได้ ข้อเสียคือ พืชน้ำ จะให้ออกซิเจนแก่น้ำได้ ในบริเวณที่มีแสงเพียงพอเท่านั้น ส่วนในเวลาที่มีแสงไม่เพียงพอ พืชน้ำจะไปแย่งออกซิเจนจากน้ำมาแทน และการที่น้ำมีออกซิเจนละลายอยู่เกินจุดอิ่มตัว อาจทำให้ปลามีอาการผิดปกติเช่น เกิด Air bubble disease ได้

3 วิธีกล วิธีการนี้มีหลักการง่ายๆคือ การเพิ่มพื้นที่ ผิวสัมผัสน้ำ กับอากาศ หรือเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสอากาศ กับน้ำ ให้ได้มากที่สุด และนานที่สุด เพื่อทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนออกซิเจนจากอากาศกับน้ำได้สูงสุดนั่นเอง วิธีนี้มีข้อดีคือ สามารถให้ออกซิเจนแก่น้ำได้อย่างต่อเนื่อง ในปริมาณที่สามารถควบคุมได้ และไม่มีสารตกค้างใดๆ ส่วนข้อเสียคือ ต้องใช้พลังงานกลที่ต่อเนื่องซึ่งส่วนใหญ่จะเปลียนรูปมาจากพลังงานไฟฟ้า เช่น เครื่องแอร์ปัมพ์ เครื่องสูบน้ำ เป็นต้น
ในการเพาะเลี้ยงปลาสวยงาม นั้น ไม่ว่าจะเป็นในตู้ หรือในบ่อ ส่วนใหญ่จะใช้วิธีกลเนื่องจากเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สะดวก และตอบรับกับวัตถุประสงค์ในการเลี้ยงได้เป็นอย่างดี

การเพาะเลี้ยงปลาสวยงามในตู้กระจก
การเพาะเลี้ยงปลาสวยงามในตู้กระจกนั้น จะใช้ในการเพาะเลี้ยงปลาที่มีขนาดเล็ก จนถึงขนาดปานกลาง ทั้งนี้และทั้งนั้น ปลาดังกล่าว ต้องมีความสามารถในการปรับตัว ยอมรับ และสามารถสืบพันธุ์ในตู้กระจกได้ ปลาประเภทนี้มีมากมายหลายชนิด เช่น ปลาในครอบครัวปลาหมอสี เกือบทุกชนิด กลุ่มปลาตะเพียนขนาดเล็กเป็นต้น ซึ่งจะมีรูปแบบการให้อากาศตามลักษณะของตู้ปลา สองรูปแบบคือ
1) การดึงอากาศลงไปสัมผัสกับน้ำ วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมกันแพร่หลาย โดยใช้ เครื่องปัมพ์อากาศ ส่งอากาศผ่านสายยางขนาดเล็ก ผ่านหัวทรายลงสู่น้ำ หรืออาจผ่านท่อพลาสติกซึ่งติดอยู่กับระบบกรองใต้ทราย ซึ่งความสามารถในการให้ออกซิเจนแก่น้ำขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้
1.1 ปริมาณของฟองอากาศ ยิ่งมีปริมาณมากขึ้น ก็จะสามารถแลกเปลี่ยนกาซออกซิเจนได้ดีขึ้น
1.2 ขนาดของฟองอากาศ ยิ่งฟองอากาศมีขนาดเล็ก ละเอียดเท่าใด ก็จะสามารถแลกเปลี่ยนกาซออกซิเจนได้ดีขึ้น
1.3 ระยะเวลาและความต่อเนื่องของฟองอากาศที่สัมผัสกับน้ำ ยิ่งฟองอากาศสัมผัสกับน้ำนานเท่าใด การแลกเปลี่ยนกาซก็จะเกิดมาขึ้นตามไปด้วย ปกติ ฟองอากาศขนาดเล็กจะอยู่ในน้ำได้นานกว่าฟองขนาดใหญ่
1.4 อุณหภูมิ ออกซิเจน มีความสามารถในการละลายในน้ำที่มีอุณหภูมิสูง น้อยกว่าในน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำ
ใน ระบบการเพาะเลี้ยงปลาสวยงามขนาดใหญ่ จะนิยมใช้ปัมพ์ลมขนาดใหญ่เพียงตัวเดียว แล้วเดินท่อพีวีซีขนาดเล็ก ไปตามแนวที่วางตู้ปลา แล้วต่อสายยางลมขนาดเล็กลงสู่ตู้ปลาโดยมีวาวล์ปรับความแรงลมขนาดเล็ก ไว้ควบคุมทุกๆจุดที่ต่อสายยาง
2) การดึงน้ำขึ้นมาสัมผัสกับอากาศ วิธีนี้ เป็นอีกวิธีหนึ่งในการให้อากาศในตู้ซึ่งจะมีหลักการแบบเดียวกับวิธีแรก แต่วิธีการต่างกัน การให้อากาศแบบนี้ นิยมใช้กับตู้ที่มีระบบกรองด้านข้าง ซึ่งจะมีการใช้ปัมพ์น้ำ ในการสูบน้ำ ผ่านระบบกรองข้างตู้ซึ่งจะเป็นบริเวณที่มีการแลกเปลี่ยนกาซเกิดขึ้น ความสามารถในการแลกเปลียนกาซจะขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้
2.1 วัสดุกรอง วัสดุกรองที่จะสามารถทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนกาซสูงสุด ต้องมีพื้นผิวที่มากตามไปด้วย แต่พื้นผิวดังกล่าว ต้องเป็นพื้นผิวที่มีพื้นที่ว่างเพียงพอ ที่จะให้เกิดการแลกเปลี่ยนกาซ ยกตัวอย่างเช่น ไบโอบอล กับ ปะการังหรือเซรามิคซ์ ถึงแม้ว่า ปะการังจะมีรูพรุนเป็นจำนวนมาก ซึ่งหมายถึงการมีพื้นที่ผิวมากตามไปด้วย ซึ่งจะมีมากกว่าไบโอบอล ในปริมาตรที่เท่ากัน แต่จะเห็นว่า ปะการังนั้น มีรูพรุนขนาดที่เล็กเกินไป ซึ่งเล็กเกินกว่าที่จะมีพื้นที่เพียงพอที่จะให้น้ำและอากาศเข้าไปพร้อมๆกัน ได้ แต่ในไบโอบอล จะเห็นว่า มีพื้นที่กว้างเพียงพอในการแลกเปลี่ยนกาซ ดังนั้นวัสดุกรองทั้งสองอย่างถึงแม้จะมีคุณสมบัติคล้ายๆกัน แต่ก็มีหน้าที่หลักต่างกัน ปะการังหรือเซรามิคซ์ จึงมีหน้าที่หลักในการเป็นที่อาศัยของแบคทีเรีย ในขณะที่ไบโอบอล จะมีหน้าที่หลักในการแลกเปลี่ยนกาซให้กับตู้ปลา
2.2 ระยะเวลาที่น้ำสัมผัสกับอากาศ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความสูงของชั้นกรอง โดยเฉพาะชั้นไบโอบอล ยิ่งมีความสูงมากเท่าไร ก้อจะมีโอกาสในการแลกเปลียนกาซมากขึ้นเท่านั้น
2.3 ความแรงของปัมพ์น้ำ ถ้าปัมพ์น้ำที่ใช้ มีกำลังสูบน้ำสูง จะทำให้น้ำไหลผ่านชั้นกรองได้ในปริมาตรที่มากขึ้น ทำให้การแลกเปลี่ยนกาซสูงขึ้นตามไปด้วย
2.4 อุณหภูมิ ออกซิเจน มีความสามารถในการละลายในน้ำที่มีอุณหภูมิสูง น้อยกว่าในน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำ

การเพาะเลี้ยงปลาสวยงามในบ่อ
ปลา สวยงามที่นิยมเพาะเลี้ยงในบ่อนั้นมีหลายชนิดมากมาก จนอาจกล่าวได้ว่าแทบทุกชนิด สมารถเพาะขยายพันธุ์ในบ่อได้ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น ความสะดวกในการทำงาน ความคุ้มทุน ปริมาณปลา เป็นต้น ซึ่งจะแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ
1) บ่อดิน ปลาที่นิยมเพาะขยายพันธุ์ในบ่อดิน จะเป็นการเพาะแบบวิธีเลียนแบบธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะเป็นปลาขนาดใหญ่ เช่น ปลาแรด ปลาตะพัด โดยปกติแล้ว มักไม่ค่อยมีการให้อากาศเพิ่มเติม แต่เพื่อผลผลิต และคุณภาพน้ำที่ดี เราสามารถทำได้โดยใช้ปัมพ์ลมขนาดใหญ่ ปล่อยลมลงสู่บ่อโดยตรงผ่าน ท่อพีวีซี โดยไม่ต้องมีหัวทราย
2) บ่อปูน ปลาที่นิยมเพาะเลี้ยงในบ่อปูนนั้นมีมากมายหลายชนิด นับตั้งแต่ปลาขนาดเล็ก เช่นกลุ่มปลาออกลูกเป็นตัว ปลาทอง ปลากัด ปลาขนาดกลาง และขนาดใหญ่ เช่น ปลาหมอสี ปลาแฟนซีคาร์พ เป็นต้น การให้อากาศในบ่อปูนนั้น มีหลักการเหมือนกับ การให้อากาศในตู้ปลาในบ่อขนาดเล็ก ซึ่งมีการใช้หัวทรายเป่าลมลงไปโดยตรง หรือ มีระบบกรอง เพื่อกรองของเสียและแลกเปลียนกาซ เพียงแต่แตกต่างกันตรงที่ในบ่อขนาดใหญ่ ถ้าบ่อมีความลึกมาก จำเป็นต้องใช้สายยางขนาดใหญ่ และหัวทรายที่มีขนาดใหญ่ตามไปด้วยจึงจะมีแรงดันเพียงพอที่จะปล่อยฟองอากาศ ออกมาได้ และ อาจมีการใช้เครื่องสูบน้ำพ่นน้ำจากบ่อขึ้นมาสัมผัสอากาศโดยตรง หรือจะปล่อยในแนวราบเพื่อประโยชน์ในการไหลเวียนน้ำอีกด้วย

ตัวอย่างการทำกรองใช้เองครับ